หมายเหตุ

Blogger นี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนในรายวิชา อินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน หากผู้จัดทำได้ล่วงล้ำกระทำละเมิดลิขสิทธิ์ประการใด ก็ขออภัยไว้นะที่นี้ด้วยค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

นานาประโยชน์จากฟักทอง

ฟักทอง ผักสีสวยมากมายคุณค่า

     
        สวัสดีค่ะ!!สำหรับสาระดีๆที่ดิฉันมาแนะนำทุกๆคนวันนี้ก็คือ "ฟักทอง"คะ เป็นผักที่อยู่คู่กับคนไทยมาช้านานซึ่งหลายๆคนคงรู้จักกันเป็นอย่างดี และวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องประโยช์ของฟักทองกันค่ะ
ประโยชน์ของ ฟักทอง

   "ฟักทอง" ซึ่งเป็นผักที่มากไปด้วยคุณประโยชน์ และในด้านทางฮวงจุ้ยแล้ว การกินฟักทองนี้หมายถึง การสร้างมงคลให้กับร่ายการและยังเป็นการเสริมทรัพย์อีกด้วย แต่เรื่องของฟักทองที่เราจะคุยกันในวันนี้ไม่เกี่ยวกับฮวงจุ้ยใดๆ ทั้งสิ้น แต่เกี่ยวกับประโยชน์ของผักชนิดนี้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นยอดของฟักทอง, เนื้อผล, เมล็ด และดอกฟักทอง ล้วนแล้วแต่เป็นยาที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของคนเราทั้งนั้น

ฟักทอง
- เป็นผักที่มีเส้นใยสูง และให้พลังงานต่ำ แถมยังมีไขมันน้อยอีกด้วย ดังนั้นผักชนิดนี้จึงเหมาะกับคนที่กำลังจะลดความอ้วน หรือกำลังคุมน้ำหนัก ถึงแม้ว่าฟักทองจะมีรสหวานแต่ก็มีเบตาแคโรตีนสูงเป็นผักที่สามารถนำมาทำอาหารได้ทั้งคาวและหวานอีกด้วย

สรรพคุณ : ฟักทอง
  • เมล็ดฟักทอง มีสาร คูเคอร์บิทีน (Cucurbitine) ซึ่งจะเป็นสารออกฤทธิ์ขับพยาตัวตืด
วิธีใช้ คือ ให้นำเมล็ดฟักทองประมาณ 200 กรัม มาคั่วให้สุกแล้วแกะกินเนื้อในของเมล็ด แต่ถ้าคุณกินเนื้อในดิบของเมล็ดฟักทอง ก็จะช่วยถ่ายพยาธิไส้เดือน

  • เนื้อของผลฟักทอง มีสรรพคุณในการช่วยป้องกันโรคเบาหวาน แก้โรคหอบหืด
วิธีใช้ คือ ถ้าคุณเป็นโรคเบาหวาน ก็ให้นำฟักทองไปต้มและดื่มเฉพาะน้ำ หรือจะทำเป็นแกงทานก็ได้ แต่ถ้าคุณเป็นโรคหอบหืด คุณต้องนำฟักทองไปนึ่ง และราดน้ำผึ้ง ให้กินเช้า-เย็น ติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน

  • ดอกของฟักทอง จะมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคตาบอดกลางคืน
วิธีใช้ คือ ให้นำดอกฟักทอง ไปต้มกับตับหมู แลัวกินบ่อยๆ จะทำให้ดีขึ้น
          และสิ่งสำคัญในการเลือกฟักทองมาใช้ทำอาหาร ควรเลือกฟักทองที่มีเนื้อละเอียด เพราะจะหวานและมีสรรพคุณทายาเป็นอย่างมาก แต่ถ้าขณะนั้นคุณกำลังท้องอืดอยู่ ก็ไม่ควรกินฟักทองนะ เพราะจะทำให้รูสึกแน่นท้องมากยิ่งขึ้น
         เป็นยังไงกันบ้างคะ สาระน่ารู้เรื่องฟักทองผักสีสวยของเราที่นำมาฝากกันวันนี้ มีประโยชน์และสรรพคุณที่มากมาย สามารถรับประทานกันได้หลายส่วนแบบนี้น่าสนใจใช่มั้ยล่ะ??ยังไงก็อย่าลืมซื้อมาทานเป็นอาหารเพื่อสุขภาพได้นะคะ แต่คนที่กำลังลดความอ้วนหรือคุมน้ำหนักอยู่ ก็อย่าทานเมล็ดฟักทอง เพราะในเมล็ดฟักทองมีไขมันอยู่มาก เดี๋ยวอ้วนขึ้นนะจะหาว่าเราไม่บอก
         

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เพลงเพราะซึ้งๆ ฟังสบาย

เพลงเพราะซึ้งๆ ฟังสบาย...สายน้ำ - ลาบานูน
 
 
 
 
เพลงนี้เพราะมากเลย และเป็นบทเพลงที่ยังมีข้อคิดสอนเราไว้ด้วย ยังไงก็เข้ามาฟังกันเยอะนะคะ
 
"อย่าร้้องให้กับอดีต แต่จงยิ้มกับวันต่อๆไป"

วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มุมอร่อย:สูตรอาหารต้มยำไข่น้ำ

                                                              ต้มยำไข่น้ำ


 

เมนูง่ายๆที่ทำไม่ยาก เหมาะสำหรับผู้ที่เบื่อแกงจืดไข่น้ำแบบธรรมดาและต้องการรสชาติที่แซ่บมากยิ่งขึ้น ต้มยำไข่น้ำคล้ายกับการทำต้มยำน้ำใสทุกประการ เพียงแต่จะไม่ใส่เนื้อสัตว์ใดๆ แค่เจียวไข่ใส่ลงไปในน้ำต้มยำรสชาติเข้มข้น ก็จะได้ทานต้มยำไข่น้ำที่อร่อยและทำได้ง่ายจริงๆ ทานกับข้าวสวยร้อนๆซักจาน แค่นี้ก็พร้อมอร่อยแล้วล่ะคะ
วัตถุดิบต้มยำไข่น้ำ

1. ไข่ไก่                3 ฟอง
2. น้ำซุปไก่          1 ลิตร
3. ข่า                     1 ชิ้น
4. ตะไคร้               2 ต้น
5. ใบมะกรูด          5-6 ใบ
6. รากผักชี             1 ราก
7. พริกขี้หนูแดง    10-15 เม็ด
8. เห็ดฟาง              100 กรัม
9. น้ำมะนาว            6 ชต.
10. น้ำปลา               4 ชต.
11. น้ำตาลทราย       2 ชช.
12. เกลือป่น              2 ชช.
13. น้ำมันปาล์ม        5 ชต.

วิธีทำต้มยำไข่น้ำ

1. ทุบรากผักชีพอแตก จากนั้นหั่นข่า ตะไคร้เตรียมไว้ ตามด้วยฉีกใบมะกรูด และผ่าครึ่งเห็ดฟางกับพริกขี้หนูแดง
2. ต้มน้ำซุปไก่ให้เดือด เติมรากผักชี ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกขี้หนูแดง ต้มให้เดือด ประมาณ 10 นาที
3. ระหว่างที่ต้มเครื่องต้มยำอยู่ ให้เติมน้ำมันปาล์มลงในกระทะอีกใบ รอให้ร้อนค่อยตีไข่ให้แตกและนำไข่ลงทอดจนเหลืองน่ารับประทาน หั่นไข่ให้ได้ 6 ชิ้น พักไว้
4. ปรุงรสในหม้อต้มยำด้วยน้ำปลา น้ำตาล เกลือ เติมเห็ดฟางลงไปต้มต่ออีก 2-3 นาที ปิดแก๊สแล้วจึงเติมน้ำมะนาว คนให้เข้ากันค่อนเติมไข่ลงไป ตักเสิร์ฟ โรยหน้าด้วยใบผักชี เป็นอันเสร็จ
อาหารที่เราสามารถทำทานเองได้ วิธีของขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด ยังไงเพื่อนๆลองมาทำดูนะคะ รับรองอร่อยได้ง่ายๆด้วยตนเอง อีกทั้งเวลาในการทำเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้นเองค่ะ  

ระบบกฎหมาย civil law และ common law

ระบบกฎหมาย civil law และ common law
      
       ระบบกฎหมายหลักของโลก  ซึ่งในโลกนี้มีระบบกฎหมายที่ใช้กันอยู่หลายระบบ แต่ระบบที่เราจะนำมาศึกษาและทำความเข้าใจ จะขอยกไว้เพียงสองระบบ คือ
1. civil law
2. common law
        แต่ละระบบคืออะไร นักศึกษาที่เรียนมาอ่านตำรามาจะเข้าใจและท่องเอาว่า civil law คือ ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร common law คือระบบกฎหมายจารีตประเพณี แต่หามีความเข้าใจที่ชัดเจนเด็ดขาดไม่ วันนี้จะอธิบายในสองระบบนี้ให้เข้าใจแบบชัดเจนเด็ดขาดเสียทีเดียว
               ซีวิลลอว์ civil lawคือ กฎหมายในระบบ "ประมวลกฎหมาย" ผู้เขียนไม่อยากให้เรียกว่า กฎหมายลายลักษณ์อักษร เพราะไม่ว่าจะเป็นกฎหมายในระบบใดก็ระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษรทั้งสิ้น จึงควรใช้คำให้ถูกต้องว่า "ระบบประมวลกฎหมาย"
ประเทศที่ใช้กฎหมายในระบบประมวลกฎหมายมีหลายประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศเยอรมัน ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศจีน ประเทศฝรั่งเศษ อิตาลี และกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย เป็นต้น
               คอมมอนลอว์ common lawคือ กฎหมายในระบบ "จารีตประเพณี" ที่มีบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเช่นกัน มิใช่ใช้กันตามความรู้สึกแต่อย่างใด แต่เป็นการนำเอาคำพิพากษาในคดีที่ศาลตัดสินแล้วมาเป็นกฎหมาย ประเทศที่ใช้กฎหมายในระบบนี้ เช่น ประเทศอังกฤษ และประเทศอเมริกา เป็นต้น

               สิ่งที่ทำให้ระบบกฎหมายสองระบบนี้ต่างกัน คือ ที่มาต่างกัน วิธีการใช้ต่างกัน

ความหมายและที่มาของกฏหมาย

ความหมายของกฏหมาย

       กฎหมายคืออะไร? เชื่อได้เลยว่าทุกคนหรือแทบจะทุกคนในสังคมคงจะรู้จักคำๆนี้เป็นอย่างดี แต่หากจะให้อธิบายความหมายของคำนี้ หลายๆคนคงไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ซึ่งจริงๆแล้วแม้แต่ในทางวิชาการก็มีการให้นิยามความหมายแตกต่างกันออกไปมากมาย เนื่องจากเป็นการยากที่จะนิยามความหมายออกมาให้ครอบคลุมได้ทั้งหมด แต่พอจะสรุปได้ดังนี้
      กฎหมาย คือ กฎเกณฑ์ คำสั่ง หรือข้อบังคับที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายอย่างหนึ่งอย่างใดของสังคม


ที่มาของกฏหมาย


1.ศีลธรรม คือกฎเกณฑ์ของความประพฤติ คำๆนี้ฟังเข้าใจง่ายแต่อธิบายออกมาได้ยากมาก เพราะเป็นสิ่งที่แต่ละคนเข้าใจได้ในตัวเองและมีความหมายที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น เชื้อชาติ ศาสนา สภาพแวดล้อม ฯลฯ แต่อย่างไรก็ความหมายของศีลธรรมของแต่ละคนก็จะมีมาตรฐานใกล้เคียงกัน แม้อาจจะแตกต่างกันออกไปบ้าง แต่โดยหลักแล้วก็จะหมายถึง ความรู้สึกผิดชอบหรือความดีงามต่างๆที่ทำให้คนเราสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้โดยสงบสุข ดังนั้นการบัญญัติกฎหมายจึงต้องใช้ศีลธรรมเป็นรากฐาน เพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่สังคมให้มากที่สุดนั่นเอง

2.จารีตประเพณี คือแบบแผนที่คนในสังคมยอมรับและถือปฏิบัติมาเป็นเวลาช้านาน แต่ละสังคมก็มีจารีตประเพณีที่แตกต่างกันออกไป ตามแต่สภาพแวดล้อม ศาสนา เชื้อชาติ ฯลฯ เช่นเดียวกับศีลธรรม การกระทำที่ฝ่าฝืนต่อจารีตประเพณี คนในสังคมนั้นๆก็จะมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่สมควรกระทำ จึงนำมาใช้เป็นรากฐานในการบัญญัติกฎหมาย เนื่องจากเป็นสิ่งที่คนในสังคมนั้นๆยอมรับ ตัวอย่างที่สำคัญก็คือกฎหมายในประเทศอังกฤษนั้น ผู้พิพากษาจะใช้จารีตประเพณีมาพิจารณาพิพากษา ซึ่งคำพิพากษานั้นถือเป็นกฎหมาย ส่วนประเทศอื่นๆก็มีการนำจารีตประเพณีมาใช้เป็นรากฐานในการบัญญัติกฎหมายเช่นกัน เช่นกฎหมายของประเทศไทยในเรื่องของการหมั้น การแบ่งมรดก ฯลฯ

3.ศาสนา คือหลักการดำเนินชีวิตหรือข้อบังคับที่ศาสดาของแต่ละศาสนาบัญญัติขึ้นเพื่อสอนให้คนทุกคนเป็นคนดี เมื่อพูดถึงศาสนาเราก็อาจนึกไปถึงศีลธรรม เพราะสองคำนี้มักจะมาคู่กัน แต่คำว่าศีลธรรมจะมีความหมายกว้างกว่าคำว่าศาสนา เพราะศีลธรรมอาจหมายความรวมเอาหลักคำสอนของทุกศาสนามารวมไว้และความดีงามต่างๆไว้ในคำๆเดียวกัน เมื่อเรากล่าวถึงคำสอนของศาสนาอิสลาม นั่นหมายถึงศีลธรรม เมื่อเรากล่าวถึงคำสอนของศาสนาพุทธ นั่นหมายถึงเรากล่าวถึงศีลธรรมเช่นกัน กฎหมายของแต่ละประเทศก็จะบัญญัติขึ้นโดยอาศัยศาสนาเป็นรากฐานด้วย เช่นในประเทศไทยเราในทางอาญาก็จะนำศีล 5 มาใช้ในการบัญญัติกฎหมาย เช่นห้ามฆ่าผู้อื่น ห้ามลักทรัพย์ ห้ามประพฤติผิดในกาม ฯลฯ

4.คำพิพากษาของศาล มีเฉพาะบางประเทศเท่านั้นที่ถือเอาคำพิพากษาของศาลมาจัดทำเป็นกฎหมาย เช่น ประเทศอังกฤษ คือใช้จารีตประเพณีมาพิจารณาพิพากษาคดีและเพื่อไม่ให้มีกรณีเดียวกันนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกก็จะนำคำพิพากษานั้นมาจัดทำเป็นกฎหมายเพื่อให้ทุกคนปฏิบัติตาม หากมีคดีที่มีข้อเท็จจริงเหมือนกันเกิดขึ้นอีก ศาลก็จะตัดสินเหมือนกับคดีก่อนๆ แต่ในหลายๆประเทศคำพิพากษาเป็นเพียงแนวทางในการพิจารณาพิพากษาของศาลเท่านั้น ศาลอาจใช้ดุลพินิจพิจารณาพิพากษาต่างจากคดีก่อนๆได้ จึงไม่ถือคำพิพากษาของศาลเป็นกฎหมาย เช่น ประเทศไทยเราเป็นต้น

5.หลักความยุติธรรม(Equity) หลักความยุติธรรมนี้จะต้องมาควบคู่กับกฎหมายเสมอ เพียงแต่ความยุติธรรมของแต่ละคนก็อาจไม่เท่ากัน แต่อย่างไรก็ดีผู้บัญญัติและผู้ใช้กฎหมายก็จะต้องคำนึงถึงหลักความยุติธรรมด้วยและความยุติธรรมนี้ควรจะอยู่ในระดับที่คนในสังคมส่วนใหญ่ยอมรับ เพราะถ้าเป็นความยุติธรรมโดยคำนึงถึงคนส่วนน้อยมากกว่า ก็จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้คนเพียงบางกลุ่มเท่านั้น ทำให้ไม่เกิดความยุติธรรมแก่สังคมโดยแท้จริง ตัวอย่างที่สำคัญคือ ในอังกฤษนั้นแต่ก่อนการฟ้องเรียกค่าเสียหายนั้นจะฟ้องเรียกได้เฉพาะจำนวนเงินเท่านั้น จะฟ้องให้ปฏิบัติตามสัญญาที่ตกลงกันไม่ได้ จึงทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้เสียหาย เนื่องจากในบางรายผู้เสียไม่ได้ต้องการเงินค่าเสียหาย แต่ต้องการให้คู่สัญญาปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำต่อกัน ดังนั้นจึงได้มีการนำเอาหลักความยุติธรรมาใช้โดยอนุญาตให้มีการชำระหนี้โดยการปฏิบัติตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ตามความมุ่งหมายของผู้ที่เสียหายได้ ทำให้เกิดความเป็นธรรมในการพิจารณาพิพากษาคดียิ่งขึ้น

6.ความคิดเห็นของนักปราชญ์ ก็คือผู้ทรงความรู้ในทางกฎหมายนั่นเอง อาจจะเป็นนักวิชาการ หรืออาจารย์สอนกฎหมายก็ตาม เนื่องจากนักปราชญ์เหล่านี้จะเป็นผู้ค้นคว้าหลักการและทฤษฎีต่างๆเพื่อสนับสนุนหรือโต้แย้งกฎหมายหรือคำพิพากษาของศาลอยู่เสมอ ทำให้เกิดหลักการหรือทฤษฎีใหม่ๆที่เป็นแนวทางในการบัญญัติกฎหมายได้ เช่น แนวความคิดของ คาร์ล มาร์กซ์ ในประเทศรัสเซีย ฯลฯ
                กฏหมายเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ในสังคม และมีความจำเป็นอย่างมากที่ควรศึกษาและเข้าใจ ยังไงก็ขอเชิญทุกคนๆเข้ามาอ่านไว้เป็นความรู้เบื้องต้นได้นะคะ

6 เรื่องดี ๆ จากสตรอเบอร์รี่



          1.ดูแลสายตา

          ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาส่วนใหญ่จะเกิดจากอนุมูลอิสระ และการขาดสารอาหารบางชนิด และเมื่อเราอายุมากขึ้น ดวงตาของเรายิ่งถูกทำร้ายได้ง่าย ซ้ำร้ายความแก่ชราจะทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเสื่อมสภาพ แต่สตรอวเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างวิตามินซี ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก และกรดเอลลาจิก ซึ่งช่วยชะลอกระบวนการดังกล่าว แถมยังมีโพแทสเซียมซึ่งช่วยปรับความดันในตาให้เป็นปกติอีกด้วย

2.ป้องกันโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์

          เมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานนาน ๆ เข้า กล้ามเนื้อของเราก็มีแต่จะถดถอยของเหลว บริเวณข้อต่อกระดูก็จะเหือดแห้งลงไปเรื่อย ๆ และร่างกายก็สะสมสารพิษอย่างกรดยูริกเอาไว้มากขึ้น ๆ ทำให้โรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ถามหา แต่อย่าห่วงไป เพราะเราสามารถขับไล่โรคทั้งสองได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสรรพคุณล้างพิษของสตรอวเบอร์รี่ค่ะ

3.กำราบโรคมะเร็ง

          กินสตรอวเบอร์รี่ทุกวันสิคะเซลล์มะเร็ง และเนื้องอกต้องชิดซ้ายหลีกทางให้แก่สารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี โฟเลต และแอนโธไชยานินส์ ที่มีอยู่มากมายในสตรอวเบอร์รี่ค่ะ

4.ส่งเสริมการทำงานของสมอง

          ยิ่งแก่ยิ่งขี้หลงขี้ลืม เพราะเนื้อเยื่อและเส้นประสาทในสมองเสื่อมสภาพจากอนุมูลอิสระตัวร้าย ซึ่งสตรอวเบอร์รี่ช่วยได้ เพราะมีวิตามินซี และไฟโตนิวเทรียนต์ ที่ทำให้อนุมูลอิสระหมดฤทธิ์ และคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ระบบประสาท แถมยังมีไอโอดีนที่ทำให้สมองและระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

5.ลดความดันโลหิต

          หากโซเดียมเป็นตัวการทำให้เกิดความดันโลหิตสูง สตรอวเบอร์รี่ก็มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับความดันให้เป็นปกติค่ะ

6.ปราบโรคหัวใจ

          ใยอาหาร โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย แถมวิตามินบีบางชนิดที่พบได้ในสตรอวเบอร์รี่ จะเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงอีกด้วย
 
เห็นประโยชน์ที่มีมากมายขนาดนี้แล้ว สาวๆหลายคนคงเริ่มสนใจในผลไม้สีสวยอย่างสตอเบอรรี่กันแล้วก็อย่าลืมซื้อมาทานกันเยอะนะคะ

เที่ยวขอนแก่น

แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดขอนแก่น
 
ไดโนเสาร์ยุค 130 ล้านปี
 
 ไดโนเสาร์ถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่ขึ้นชื่อของขอนแก่น โดยตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูเวียง ยังไงถ้าสนใจก็ลองแวะไปเที่ยวชมศึกษาได้นะคะ

ที่มา www.youtube.com/watch?v=c5y-ajfSMCA

ท่องเที่ยวทุ่งกระเจียว

ราชินีดอกไม้ ที่ผลิบานบนลานหินงาม ป่าหินงาม

 
<< ทุ่งดอกกระเจียว >> 
หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามของอุทยานแห่งชาติ ป่าหินงาม จ.ชัยภูมิ               "ทุ่งดอกกระเจียว" เกิดจากดอกกระเจียวป่า หลากหลายสายพันธุ์ ที่พร้อมใจกันขึ้นรายรอบบริเวณ ของอุทยานฯและจะมีอยู่บริเวณหนึ่งใช้พื้นที่หลายไร่ ที่จะมีดอกกระเจียวขึ้นอย่างหนาแน่นจนกลายเป็นทุ่ง ซึ่ง เวลามองดูก็จะเห็นเป็นสีชมพูปนขาว และมีสีเขียวของลำต้ันและก้านใบเป็นสีเขียวสด ประกอบกับสีเขียว ของหญ้าทีขึ้นมาแซม ทำให้ทุ่งกระเจียว เขียวขจี สวยงามเหมือนกับทุ่งในทรวงสวรรค์เลย โดยในช่วงฤดูฝน เริ่มต้นเดือนมิถุนายน ถึง ปลายเดือนกรกฎาคม ของทุก ๆ ปี ต้นกระเจียวจะออก ดอกสวยงามตระการตาไปทั่วผืนป่า จัดได้ว่าเป็น "นางเอกของอุทยานฯ" ก็ว่าได้ ทั้งนี้เพราะดอกกระเจียว จะไม่มีให้เห็นเลยนอกเสียจากในช่วงเวลาที่ว่านี่เท่านั้น...

เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามมาก บรรยากาศสดใสท่ามกลางดอกกระเจียวสีสสวยมาพร้อมด้วยอากาศที่เย็นสดชื่นสบายใจ ยังไงก็อยากเชิญทุกคนไปท่องเที่ยวกันเยอะๆนะคะ