หมายเหตุ

Blogger นี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนในรายวิชา อินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน หากผู้จัดทำได้ล่วงล้ำกระทำละเมิดลิขสิทธิ์ประการใด ก็ขออภัยไว้นะที่นี้ด้วยค่ะ

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

ขนมไทย:ขนมเทียน

 
ขนมเทียนใส้เค็ม  
     เป็นขนมไทยชนิดหนึ่งที่นิยมทำกันมากเพื่อใช้ประกอบในงานมงคล หรืองานบุญประเพณีต่างๆ มี 2 ชนิด คือ ใส้หวานกับใส้เค็ม รสชาติหวาน มัน อร่อย ขึ้นอยู่กับการปรุงรสตามความชอบของเราเองค่ะ

ส่วนผสมขนมเทียน

  1. แป้งข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม
  2. น้ำ 2 3/4 ถ้วยตวง
  3. น้ำตาลปีบ 800 กรัม
  4. กระทิ

เครื่องปรุงรส

  1. น้ำตาลทราย 1 1/4 ถ้วยตวง
  2. เกลือ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
  3. น้ำมันทาใบตอง 1 ถ้วยตวง

ส่วนผสมไส้ขนมเทียน

  1. เนื้อหมูสับ 200 กรัม
  2. ถั่วเขียวดิบ 500 กรัม
  3. รากผักชี 2 ช้อนโต๊ะ
  4. พริกไทย 1 ช้อนโต๊ะ
  5. หัวหอม 1/4 ถ้วยตวง
  6. น้ำมันสำหรับผัด 1 ถ้วยตวง

วิธีทำขนมเทียน

  1. แช่ถั่วเขียวไว้ประมาณ 30 นาที นำใส่ลังถึงนึ่งให้สุก โขลกให้ละเอียด
  2. โขลกรากผักชี หอม พริกไทยรวมกันให้ละเอียด ใส่ลงผัดในน้ำมันให้หอม ใส่เนื้อหมูถั่วเขียวบดลงผัดให้เข้ากัน ปรุงรสด้วย น้ำตาล เกลือ ผัดจนเข้ากันดี ยกลงพักไว้ให้เย็น ปั้นเป็นก้อนกลม ขนาด 1 นิ้ว
  3. น้ำตาลปีบกับน้ำตั้งไฟให้ละลาย พักไว้ให้เย็น ค่อย ๆ เทแป้งลงนวดจนกระทั่งแป้งเนียน พักแป้งไว้ประมาณ 30 นาที ปั้นแป้ง ขนาด 1 นิ้ว แผ่แป้งใส่ไส้
  4. ตัดใบตองให้เป็นรูปกลมรี ๆ ขนาด 5 x 7 นิ้ว ทาน้ำมันให้ทั่ว จับใบตองให้มีลักษณะเป็นกรวย ใส่แป้งที่หุ้มไส้ ห่อให้สวยงาม นึ่งให้สุกประมาณ 45 นาที ยกลงและนำไปรับประทานได้ตามใจชอบ
       ขนมเทียน เป็นขนมไทยที่เราเองก็ชอบทำทานบ่อยๆและชอบทำเพื่อนำไปทำบุญตักบาตร รสชาติหวานมันอร่อย เนื้อแป้งเวลาเคี้ยวจะนุ่มๆหนึบๆเคี้ยวสนุกจนวางแทบไม่ลงเลยล่ะค่ะ ขั้นตอนก็ง่ายๆไม่ ยุ่งยากอะไรมาก ถ้าเพื่อนๆคนไหนสนใจและมีเวลาว่างพอ เราก็อยากแนะนำให้ลองทำดูนะคะ            
       

อาหารรสเด็ด:ยำปลาดุกฟู

ยำปลาดุกฟู
 
         เชื่อว่าเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายๆคน เพราะมีรสชาติอร่อยเด็ด เผ็ดมันได้ที่แล้ว อีกทั้งยังอุดมไปด้วยคุณค่าสารอาหารที่มีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย แต่สาวๆก็คงไม่่อยากออกไปเผชิญกับอากาศร้อนข้างนอก หรือเข้าแถวรอคิวซื้อมาทานกันให้เสียเวลานานๆหรือเปลืองตังค์ในกระเป๋าบ่อยๆใช่มั้ยล่ะคะ  ดั้งนั้นเราก็เลยมาแนะนำการทำยำปลาดุกฟูง่ายๆสามารถทำได้เองที่บ้านได้รสชาติตามใจชอบอีกต่างหาก ทำง่าย สะดวกและใช้เวลาไม่นาน ก็ได้ทานอาหารอร่อยๆฝีมือตัวเอง ยังไงก็อย่าลืมลองมาทำทานเองนะคะ

เครื่องปรุง + ส่วนผสม
  • ปลาดุก 1 ตัว (น้ำหนักประมาณ 400-500 กรัม
  • น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมะนาว 4 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ
  • พริกขี้หนูซอย 5-10 เม็ด
  •  หอมแดงซอย 1/4 ถ้วยตวง
  • มะม่วงดิบ 1 ลูก (ฝานและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ)
  • ถั่วมะม่วงหิมพานต์ 1/4 ถ้วยตวง (หรือใช้ถั่วลิสง)
  • ผักชีสำหรับแต่งอาหาร
วิธีทำทีละขั้นตอน

1.นำปลาไปย่างในเตาอบอุณหภูมิประมาณ 230 องศาเซลเซียส จนสุกดี จากนั้นจึงนำออกมาทิ้งไว้ให้เย็น แล้วใช้ส้อมขูดไปที่เนื้อปลาเพื่อให้เนื้อปลาฉีกเป็นชิ้นฝอย

2.ใส่น้ำมันลงในกระทะและนำไปตั้งไฟร้อนปานกลาง รอจนน้ำมันร้อนจึงนำเนื้อปลาฝอยที่ขูดได้ไปทอดให้เป็นแพจนเหลือง เสร็จแล้วนำออกมาสะเด็ด และจัดไว้บนจานเสริฟ

3.ทำน้ำยำปลาดุกฟู โดยผสมน้ำปลา, น้ำมะนาว, น้ำตาล, พริก, หอมแดงและมะม่วงดิบ ปรับรสชาติไ้ด้ ตามความชอบ (รสดั้งเดิมจะมีรสเปรี้ยวนำ มีรสเผ็ด, รสหวานและเค็มพอๆกัน)

4.ก่อนเสริฟ แต่งหน้าด้วยมะม่วงหิมพานต์และผักชีบนปลาที่ทอดไว้แล้ว สำหรับวิธีเสริฟนั้น จะเสริฟแยกปลากับน้ำยำ หรือราดน้ำยำลงบนปลาเลยก็ได้ ถ้าชอบความกรอบควรเสริฟแยกกันได้

กระตุ้นการย่อยอาหาร

อาหารไม่ย่อย
   คนจำนวนไม่น้อย มีปัญหาเรื่องอาหารไม่ย่อย อันเนื่องมาจากโรคภัยไข้เจ็บบางอย่างและอาจเกิดมาจากการรับประทานอาหารมากเกินไป จนทำให้กระเพาะไม่สามารถย่อยอาหารได้ทัน จึงทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย อัดอัดในท้อง ไม่สบายท้องเมื่อทานอาหารเสร็จ

ลักษณะอาการของอาหารไม่ย่อย มีดังนี้

1. หลังรับประทานอาหารเสร็จจะรู้สึกอึดอัดท้อง แน่นท้อง
2. มีอาการปวดท้อง เนื่องจากอาหารไม่ย่อย

ผักผลไม้ 6 ชนิดที่บำบัดรักษา

ลิ้นจี่

เป็นผลที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน แต่สามารถปลูกได้ผลดีในประเทศไทย เปลือกของผลสุกจะมีสีแดงจัด ผิวเปลือกขรุขระ เนื้อในมีสีขาวใส รสหวานอมเปรี้ยว สรรพคุณช่วยในการย่อยอาหาร
ส้มเขียวหวาน
 
เป็นไม้ผลพุ่มเตี้ยที่นิยมปลูกมากในประเทศไทย ผลดิบจะมีสีเขียวเข้ม เปลือกเป็นมันวาว ผลแก่จัดจะมีสีส้มปนเขียว เป็นผลไม้ที่มีน้ำมากและมีรสหวาน ช่วยระบบย่อยอาหารในร่างกาย

แห้ว
 
เป็นพืชที่ออกผลใต้ดิน ผลแห้งจะมีเปลือกค่อนข้างแข็งคอยหุ้มอยู่ เนื้อในมีสีขาวอมเหลือง รสชาติมันหวาน มีสรรพคุณที่ช่วยในการย่อยอาหาร และลดอาการท้องผูก

สาลี่
เป็นผลไม้ที่ชอบอากาศหนาวเย็น ปลูกมากในประเทศจีน เปลือกสีเหลืองอ่อนและเหลืองจัดแม่แก่ ผลฉ่ำน้ำ มีรสหวานเย็น มีสรรพคุณที่ช่วยในการย่อยอาหาร

ขมิ้น
 
เป็นพืชที่มีสรพคุณหลายอย่าง นิยมใช้หัวในการประกอบอาหารและสะกัดเป็นยา รับประทานขมิ้นสด 1 ช้อนชา สารเคอร์คูมิ้นในขมิ้นจะช่วยในการกระตุ้นการย่อยอาหาร

พริก
เป็นพืชสามัญที่อยู่คู่ครัวและเรารู้จักกันเป็นอย่างดี รับประทานโดยนำมาใช้ในการประกอบอาหาร เพราะพริกมีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย ทำให้กระเพาะและลำไส้บีบตัวมากขึ้น ช่วยในการเจริญอาหาร

แต่ทั้งนี้เราก็ควรจะทานในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้ร่างกายสูญเสียระบบการย่อยอาหารได้

ถั่วเขียวขจัดรอยด่างดำ

รอยดำ
 
 
          ไม่ว่าจะเป็นรอยด่างดำจากการบีบสิว หรือจากการออกแดดบ่อยๆรวมไปถึงรอยแผลที่เกิดจากผื่น-คันตามร่างกาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งงที่ไม่น่าพิสมัยชวนมองเท่าไหร่นักสำหรับผิวสวยเนียนใสของสาวๆ แต่จะมีวิธีไหนล่ะที่จะทำให้รอยด่างดำเหล่านั้นหายไป โดยไม่เกิดผลข้างเคียงและที่สำคัญคือประหยัด
         คำตอบของคำถามนี้ก็คือ ถั่วเขียว เพราะถั่วเขียวนอกจากจะเป็นอาหารที่กินแล้วมีประโยชน์มากมายและสามารถเยียวยาสารพัดอาการได้แล้ว ยังนำมาทาเป็นยาบำรุงผิวเพื่อลบรอยด่างดำให้จากหายไปได้อีกด้วย

วิธีง่ายๆดังนี้
  1. เตรียมส่วนผสมให้ครบครัน ได้แก่ ถั่วเขียว 3 ข้อนโต๊ะ , มันฝรั่ง 1 หัว , น้ำมันมะกอก 2 ช้อนชา
  2. นำถั่วเขียวและมันฝรั่งมาล้างให้สะอาด แล้วนำไปต้มจนสุกแต่ไม่ต้องถึงกับเปื่อย จากนั้นนำถั่วเขียวและเนื้อมันฝรั่งที่ได้มาบดโดยไม่ต้องละเอียดนัก เติมน้ำมันมะกอกลงไป ผสมจนเข้ากันดี
  3. นำส่วนผสมที่ได้มาขัดผิวกาย โดยเฉพาะบริเวณที่มีจุดด่างดำ โดยใช้เวลาขัดประมาณ 5 นาที ส่วนผสมที่มีเนื้อและเปลือกของถั่วเขียวที่บดหยาบๆ ผสมกับเส้นใยของมันฝรั่งบด จะช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายไปแล้วออกไป ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวใหม่ที่สดใสกว่าเดิม
  4. เมื่อขัดเสร็จแล้วก็ให้ไปอาบน้ำ หรือล้างออกด้วยสบู่ และควรทำเช่นนี้ทุกสัปดาห์ รอยด่างดำก็จะค่อยๆจางเลือนหายไป

เมื่อทราบกันอย่างนี้แล้ว สาวๆก็คลายกังวลกับปัญหาที่ไม่น่าพิสวงดังกล่าวได้แล้วนะคะ วิธีง่ายๆและประหยัดๆแบบนี้ไม่อยากเลยที่เราจะกลับมาสวยใสได้อย่างสบายๆอีกครั้ง ถ้าอยากสวยใสก็ลองนำไปใช้กันดูนะคะ

กลเม็ดควบคุมการกิน(เยอะ)

    
 ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ครองตำแหน่ง      "คนช่างกิน"หรือ"กินไม่เลือก"ตลอดไปถึงการมีปรัชญาชีวิตที่ว่า"อยู่เพื่อกิน"ด้วยแล้วละก็ แน่นอนว่าโรคอ้วนก็จะตามมาพร้อมกับโรคภัยไข้เจ็บและอาการป่วยต่างๆนานาก็คงจะจะมาเยือนเอาได้ง่ายๆเช่นกันเลยล่ะคะ
       เชื่อว่าสาวๆหลายๆคนคงไม่อยาก"อ้วน"กันแน่นอน รวมถึงไม่อยากเจ็บป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บเอาง่ายๆแบบนั้นกันหรอกนะคะ แต่คงยากที่จะห้ามการกิน(เยอะ)ได้เราลองหันมาเรียนรู้การฝึกตัวเองให้กินน้อยลงกันดีกว่า

  • ค่อยๆกิน ค่อยๆเคี้ยว กินอาหารมื้อหนึ่งๆควรใช้เวลาอย่างน้อย 20 นาทีต่อมื้อ การที่เราค่อยๆกิน ค่อยๆเคี้ยวช้าๆ จะทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าเราได้กินอาหารเข้าไปเยอะแล้ว สมองจะได้รับน้ำตาลจาการย่อย ทำให้้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น แทนที่จะต้องกิน 3 จาน ก็กลายเป็นว่าเราลดลงมาเหลือแค่ 2  จาน หรือ 1 จานก็เป็นได้
  • ควรนั่งนิ่งๆ เพื่อการกินอาหาร งดกิจการงานอื่นๆให้หมด เพราะมันจะทำให้เรารู้ได้ว่าเรากินไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว
  • ควรแบ่งอาหารใส่จานเล็กๆ เพื่อทำให้เรารู้สึกว่า เรากินเข้าไปหลายจานแล้ว
  • ก่อนกินอาหารควรดื่มน้ำสักหนึ่งแก้วเล็ก
  • ระหว่างมื้ออาหาร ถ้าอยากกินของขบเคี้ยว ควรอดใจรอไว้ก่อนสัก 10 นาที เพราะระหว่างที่รอนั้นจะช่วยทำให้เรามีสติยั้งคิดได้ อย่าด่วนกินเพราะความอยาก แต่จงกินเพราะความหิว และรู้ว่ากินอะไรเข้าไปบ้างถึงจะมีคุณค่า กินเท่าไหร่ถึงจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์และครบทุก 5 หมู่
  • ผักและผลไม้ ควรจะมีผักและผลไม้จัดไว้หน้าตู้เย็น ในที่ที่จะหยิบได้สะดวก เพราะกินเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยสร้างปัญหามากเหมือนอาหารชนิดอื่น

เยียวยาร่างกายง่ายๆด้วยสมาธิ


การนั่งสมาธิ เปรียบได้กับวิธีเยียวยาร่างกายอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ต้องเสียสตางค์เลยแม้แต่น้อย ผลการวิจัยในต่างประเทศชี้ชัดออกมาแล้วว่า การนั่งสมาธิเสมือนยาอันทรงประสิทธิภาพ ช่วยได้แทบจะทุกอย่าง ตั้งแต่ เรื่องการบำบัดความเครียดไปจนถึงช่วยให้ห่างไกลจากโรคหัวใจ

ดีต่อระบบหน่วยความทรงจำในสมอง
ผลการศึกษาในวารสาร Emotion เผยว่า การฝึกนั่งสมาธิเพียงแค่ไม่กี่นาที โดยการฝึกจับลมหายใจเข้า-ออก ไม่ปล่อยใจให้วอกแวกไปกับสิ่งโน้นสิ่งนี้ ถ้าทำได้จริงๆ จะดีต่อร่างกายมาก เพราะสมาธิช่วยในเรื่องความทรงจำได้อย่างยอดเยี่ยม ความจำเรื่องงานของเราจะรุดหน้าไปด้วยดี สมองได้เรียนรู้เกี่ยวกับการบริหารข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามามากมาย และสามารถจัดเก็บอย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแค่นั่งสมาธิ 12 นาทีต่อวันเท่านั้น

เหมือนได้กลับมาเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง
การนั่งสมาธินั้นช่วยให้รู้สึกราวกับหวนกลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นอีกครั้งหนึ่ง ผลวิจัยชิ้นดังกล่าวทดสอบกับนักเรียนมัธยมปลายที่มีพฤติกรรมไม่ค่อยเชื่อฟังคุณครู นักวิจัยจับเด็กพวกนี้มานั่งสมาธิ โดยนักจิตวิทยาค้นพบว่า การสูดลมหายใจเข้า-ออกลึกๆ ตลอดจนความรู้สึกของจิตที่นิ่งสงบผ่อนคลายนั้นช่วยปรับปรุงสภาวะอารมณ์ของเด็กเหล่านี้ได้ดีมาก สมาธิใช่เพียงทำให้เด็กๆ รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกกดดัน ตรงกันข้าม กลับรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก นับว่าการสร้างสมาธิถือเป็นอีกวิธีที่ช่วยแก้อารมณ์เหวี่ยงของวัยรุ่นได้ดีทีเดียว

ดีต่อระบบการไหลเวียนเลือด
การนั่งสมาธิดีต่อระบบการไหลเวียนเลือดในร่างกาย ความเครียดในร่างกายของคุณก็เลยลดลง ช่วยให้เครือข่ายการทำงานอันซับซ้อนในร่างกายทำงานได้ลื่นไหล และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ช่วยรับมือกับความเครียดและความวิตกกังวลได้อย่างยอดเยี่ยม ส่วนผลการศึกษาที่นำเสนอโดยสมาคมหัวใจแห่งอเมริกาชี้แจงว่า การฝึกนั่งสมาธิเป็นประจำ ช่วยลดอัตราการเป็นโรคหัวใจและเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตันได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

เห็นประโยชน์ที่ดีอย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมลองหันมานั่งสมาธิหรือทำสมาธิกันเยอะๆนะคะ เพื่อสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ดีของเราเอง

รู้จักกุ้งยิง

        เมื่อก่อนเราอาจเข้าใจกันว่า การแอบดูคนอื่นอาบน้ำหรือมองคนอื่นในสภาพเปลือยเปล่านั่นเองที่เป็นสาเหตุของ"ตากุ้งยิง" แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น เพราะ...
         "กุ้งยิง" (Sty) คือ สิวที่เปลือกตา เกิดจากการติดเชื้อในรูขุมขนของขนตา หรือการติดเชื้อในต่อมไขมันซึ่งอยู่ติดกัน ดังนั้น เพื้ช่อสู้กับอาการติดเชื้อ ร่างกายจึงเพิ่มปริมาณเลือดที่จะส่งไปยังบริเวณดังกล่าว นั่นเอง จึงเป็นเหตุทำให้กุ้งยิงปรากฏขึ้น

 
ลักษณะของกุ้งยิงและการรักษา

         กุ้งยิงมีลักษณะคล้ายกับตุ่มฝีอักเสบขนาดเล็ก มีสีแดง คันและเจ็บ สำหรับคนที่เป็นกุ้งยิงนั้นไม่จำเป็นต้องรักษาอะไรมากเป็นพิเศษ เพราะมันนจะสุกและแตกหายไปเองภายใน 2-3วัน ส่วนอาการอักเสบก็จะหายไปเองภายใน 1 สัปดาห์
         แต่ถ้าอยากหายเร็วขึ้นและบรรเทาอาการปวดให้ลดลง ก็ให้เอาน้ำอุ่นเข้าประคบครั้งละ 15 นาที วันละ 3-4 ครั้ง ที่สำคัญคือ ห้ามบีบเค้น หรือขยี้ตาเด็ดขาด เพราะนอกจากจะอักเสบรุนแรงมากขึ้นแล้ว ยังจะทำให้แพร่เชื้อได้อีกด้วย
  ขอแนะนำว่า
         เมื่อหนองกลายเป็นหัวสิวแล้ว ก็พยายามดึงขนตาออกจากรูขุมขนที่ติดเชื้อ ก็จะทำให้หายเร็วขึ้น และถ้ายังไม่หายขาดหรือมีอาการที่รุยแรงขึ้น ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ทันที

แหมๆเมื่อก่อนเราก็คิดว่า"ตากุ้งยิง"มันมาจากการดูภาพอย่างว่านั่นซะอีก เคยเห็นเพื่อนเป็นกันเยอะน่ะ ถามไปก็มักบอกว่าเพราะดูน้องหมาผสมพันธุ์กัน อิอิ ที่แท้ก็มาจากการติดเชื้อนี่เอง แต่จะว่าไปตากุ้งยิงก็ไม่อันตรายมากเท่าไหร่นะ หากเรารู้จักวิธีการดูแลรักษาเบื้องต้นแบบนี้แล้ว ก็สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย สบายใจได้เลยค่ะ